1. บริการแบบไร้การสัมผัส
ตั้งแต่โควิดระบาด ผู้คนก็ได้เรียนรู้ถึงการรักษาความสะอาดที่มากขึ้น และตระหนักถึงการหลีกเลี่ยงเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นการใส่หน้ากากอนามัย หรือ การใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือหลังสัมผัสของใช้สาธารณะ
การใช้บริการในโรงแรมก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน เพื่อให้แขกรู้สึกปลอดภัย โรงแรมควรออกแบบการบริการใหม่สำหรับลูกค้าโดยลดการสัมผัสสิ่งต่างๆโดยไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการเช็คอิน เช็คเอาท์ หรือ การใช้บริการต่างๆในแต่ละเอาท์เล็ท
นอกจากกระบวนการหรือขั้นตอนการบริการที่ควรเปลี่ยนแล้ว สิ่งที่จะช่วยให้ลดการสัมผัสได้มากขึ้นก็คือการนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น การใช้แอพมือถือในการใช้บริการของโรงแรมแทน เป็นต้น
2. ประสบการณ์ดิจิทัล
ทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าใครๆก็ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้การดำเนินชีวิตง่ายขึ้น สมาร์ทโฟนกลายเป็นของที่ต้องมีติดตัว ไม่ว่าจะตอนขับรถ ตอนหิวข้าว ตอนจ่ายเงินซื้อของ หรือแม้แต่ตอนไม่มีอะไรจะทำ พูดง่ายๆเลยว่าแอพต่างๆทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้น สะดวกขึ้น หรือสนุกขึ้น
โรงแรมควรจะคำนึงถึงการนำเทคโนโลยีที่ลูกค้าคุ้นเคย เข้ามาประสานกับการบริการในปัจจุบันเพื่อให้ประสบการณ์ของลูกค้ามีความต่างกับชีวิตประจำวันน้อยที่สุด ยกตัวอย่างเช่นการเปลี่ยนประตูให้เป็นประตูดิจิทัลซึ่งลูกค้าสามารถใช้มือถือเพื่อปลดล็อกได้ หรือ การเช็คอินผ่านแอพก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ชีวิตลูกค้าง่ายขึ้น
3. การบริการที่สะท้อนตัวตนแต่ละคน
ทุกวันนี้ แขกส่วนมากคาดหวังการปฏิบัติที่สะท้อนความเป็นตัวตนมากขึ้นทั้งในเรื่องการสื่อสารและประสบการณ์ในการใช้บริการ โรงแรมควรให้ความสำคัญในการสื่อสารที่ออกแบบมาเพื่อสื่อสารกับลูกค้ากลุ่มนั้นๆโดยเฉพาะ โทนและเนื้อหาควรจะไปในทิศทางเดียวกัน มากไปกว่านั้นลูกค้ายังคาดหวังว่าจะได้รับการบริการที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นโดยอิงจากประวัติการใช้บริการ เช่น ความชอบ หรือ พฤติกรรมในอดีต
4. ห้องราคาเดิม เพิ่มรายได้ช่องทางอื่น
จากรายงานของ The Hotelier PULSE Report คนโรงแรมส่วนใหญ่คาดว่ารายได้เฉลี่ยต่อห้องจะไม่เพิ่มขึ้นในปี 2021 เนื่องจากผลกระทบจากสถาณการณ์โควิด ฉนั้นการหารายได้เพิ่มจากช่องทางอื่นจะกลายเป็นสิ่งสำคัญที่โรงแรมต้องพิจารณา เช่น การเพิ่มรายได้จาก F&B ทัวร์ หรือ การขายกิ๊ฟวอชเชอร์ หรือถ้าพูดอีกอย่างก็คือโรงแรมต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นในการดึงเงินจากลูกค้าจากช่องทางอื่นที่ไม่ใช่ห้องพักอย่างเดียว
5. นักท่องเที่ยวเดี่ยว หรือ Solo Travelers
ในยุคที่มีสิ่งรบกวนมากมายไม่ว่าจะเป็นข่าวสาร ข้อมูล หรือ โซเชียลมีเดียต่างๆ ที่รบกวนสมาธิในการทำงาน ก็มีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่โหยหาความสันโดษเพื่อปลีกตัวจากสิ่งรบกวนเหล่านั้น อีกอย่างก็คือด้วยภาระงานในสังคมปัจจุบันที่ยุ่ง ทำให้การจะชวนเพื่อนหรือครอบครัวไปพร้อมหน้าสามารถทำได้ยาก การเที่ยวคนเดียวจึงเริ่มกลายเป็นกระแสในช่วงไม่กี่ปีมานี้
การออกแบบบริการให้สามารถตอบโจทย์นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้ก็จะเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจเข้าพักกับโรงแรมของคุณได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัย ความเป็นกันเองของพนักงาน การออกแบบห้องพักให้มีความเหมือนอยู่บ้าน และ การผสมผสานประสบการณ์ลูกค้าให้เข้ากับผู้คนในท้องถิ่น นี่ก็ช่วยเติมเต็มนักท่องเที่ยวคนเดียวได้เป็นอย่างดี
6. ความยั่งยืน
การท่องเที่ยวแบบยั่งยืนหรือการให้ความสำคัญต่อการรักษาธรรมชาตินั้นเป็นกระแสหลักที่มาแรงสุดๆในช่วงนี้เลยก็ว่าได้ หลายๆธุรกิจเริ่มปรับตัวให้เข้ากับกระแสนี้แล้ว เช่น การลดใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว การหันไปใช้วัสดุธรรมชาติแทนการใช้พลาสติก หรือ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด เป็นต้น
โรงแรมก็สามารถทำได้เช่นกันเพื่อส่งเสริมสังคมสีเขียวในอีกทางหนึ่ง เช่น การใช้โซล่าเซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้า การใช้วัสดุธรรมชาติที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น การส่งเสริมการประหยัดน้ำและไฟ และ อื่นๆอีกมากมาย เป็นต้น
7. เน้นลดต้นทุน
The Hotelier PULSE Report ระบุว่า 57%ของคนโรงแรมคาดหวังว่ารายได้จะฟื้นตัวจากระดับเดิมในปี2019ในปี2022-2023 ซึ่งก็คือ1-2ปีต่อจากนี้ ดังนั้นสิ่งที่โรงแรมส่วนใหญ่สามารถทำได้เลยก็คือการลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นลง ซึ่งโรงแรมก็สามารถทำได้หลากหลายวิธีตามความเหมาะสม เช่น การลดพนักงาน ลดรายจ่ายที่ไม่ก่อรายได้โดยตรง หรือ แม้แต่การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย
8. สร้างสรรค์คอนเซ็ปโรงแรมใหม่ๆ
โรงแรมไม่จำเป็นต้องขายห้องแบบเดียวก็ได้ ปัจจุบันมีโรงแรมมากมายที่ประยุกต์โรงแรมที่มีอยู่ให้กลายเป็นโรงแรมแบบมิกซ์ยูส เช่น การแปลงห้องพักส่วนหนึ่งมาเป็นเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ การทำ Co-Working space สำหรับลูกค้าธุรกิจ หรือแม้แต่ Co-living spaceในรูปแบบhostelก็สามารถทำได้ ด้วยความหลากหลายทำให้โรงแรมสามารถรองรับลูกค้าได้หลากหลายกลุ่มมากขึ้น ซึ่งช่วยกระจายความเสี่ยงจากการรับลูกค้าแค่กลุ่มเดียว
9. เตรียมพร้อมรองรับคนGen Z
คนรุ่นGen Z เกิดในปลายยุค1990ถึง2010 ซึ่งคนกลุ่มนี้กำลังจะเข้าสู่วัยทำงาน และ จะกลายมาเป็นลูกค้าในอนาคต โรงแรมควรวางแผนล่วงหน้าเพื่อรองรับตลาดใหม่ที่กำลังจะมาในอนาคต สิ่งต่างๆที่เคยได้ผลกับคนรุ่นก่อนหน้า อาจจะไม่ได้ผลกับคนในยุคGen Z โรงแรมควรศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคก่อน แล้วจึงค่อยวางแผนว่าจะให้บริการลูกค้ากลุ่มนี้อย่างไรต่อไป
10. เน้นไปที่ช่องทางขายตรง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการขายห้องพักผ่านคนกลาง เช่น OTAs อาจมีต้นทุนการขายที่สูงถึง30-40%เลยทีเดียว นอกจากการลดต้นทุนวิธีอื่นๆแล้ว วิธีนี้อาจเป็นวิธีหลักอย่างหนึ่งที่สำคัญที่โรงแรมสามารถตัดเพื่อลดต้นทุนได้ ฉนั้นการโปรโมทช่องทางขายตรงของโรงแรมเองนั้นจะเป็นสิ่งหนึ่งจะเป็นผลดีกับโรงแรมในระยะยาวได้แน่นอน ไม่ว่าจะลดต้นทุนการขายลง ลดการพึ่งพาคนกลางมากเกินไป หรือ ยังช่วยให้โรงแรมสามารถควบคุมช่องทางการขายได้ดีกว่าเดิมอีกด้วย