การที่คนๆหนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย การเป็นผู้นำไม่ใช่การที่คุณมีตำแหน่งที่สูงกว่า หรือมีอำนาจมากกว่า แต่มันคือการที่คุณมีความเป็นผู้นำ การที่มีพลังงานบางอย่างที่คุณสามารถชักจูงลูกน้องไปในทางที่คุณต้องการได้ นั่นแหละถึงเรียกว่าผู้นำที่แท้จริง
ผู้จัดการที่เก่งสามารถคิดแผนงานล้ำเลิศแบบที่ไม่มีใครคิดได้มาก่อน แต่ถ้าลูกน้องไม่ทำตามก็จบ! แต่ถ้าคุณมีความเป็นผู้นำแล้วหล่ะก็…รับรองเลยว่าลูกน้อง(ผู้ตาม)ของคุณจะช่วยให้ความคิดของคุณเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างแน่นอน
ถ้าอยากรู้ว่าตอนนี้คุณมีความเป็นผู้นำที่ดีมากน้อยเพียงใด ลองถามคำถามเหล่านี้กับตัวเองดู
- ลูกน้องของคุณยอมที่จะทำงานมากขึ้นเพื่อคุณหรือไม่เมื่อคุณต้องการ?
- ความคิดหรือแผนงานของคุณได้ถูกนำไปใช้บ้างหรือไม่เมื่อไม่นานมานี้?
- มีลูกน้องของคุณกี่คนที่ได้เลื่อนตำแหน่งในแผนกอื่น?
- มีการต่อต้านในความพยายามของคุณที่จะเปลี่ยนแปลงหรือนำสิ่งใหม่ๆมาปรับใช้ในองค์กรบ้างไหม?
- คุณไว้วางใจลูกน้องแค่ไหนในการแจกจ่ายงานสำคัญๆให้ลูกน้องทำแทนคุณ?
- ถ้าคุณไม่อยู่ คิดว่าอะไรจะเกิดขึ้น?
เชื่อว่าคุณก็รู้ว่าคำตอบที่ถูกคืออะไร นี่เป็นแค่คำถามที่จุดประกายความคิดคร่าวๆเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการเป็นผู้นำของคุณ
ต่อไปนี้คือ 5 ก้าว ที่ทำให้คุณสามารถกลายเป็นผู้นำที่ดีกว่าเดิม(ไม่ใช่เป็นแค่Managerที่มีตำแหน่งสูงกว่า)
ก้าวที่ 1: เข้าใจตัวเองก่อน
ลองสำรวจดูว่าคุณรู้จักตัวเองดีแค่ไหน เมื่อรู้จริงแล้วว่าคุณเป็นคนอย่างไร มีนิสัยอย่างไร คุณก็จะมีความคิดเกี่ยวกับสไตล์ในการทำงานเปลี่ยนไปเช่นกัน ซึ่งรวมไปถึงสไตล์ในการบริหารจัดการของคุณด้วย
เรามีเครื่องมือง่ายๆที่ใช้ในการวัดว่าคุณเป็นคนแบบไหน แล้วเหมาะกับการทำงานแบบใดมาฝาก ลองเข้าไปทำแบบสำรวจบุคลิกภาพ Myers-Briggs ดูแล้วจะรู้เกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น
นอกจากนั้นสไตล์ในการเป็นผู้นำของคุณก็มีส่วนอย่างมากในการควบคุมดูแลลูกน้องของคุณ ซึ่งสไตล์ในการเป็นผู้นำสามารถแบ่งออกได้เป็น6ข้อใหญ่ๆ
- สไตล์บีบบังคับ – ต้องการความร่วมมือเดี๋ยวนั้น ตอนนั้น ห้ามเถียง
- นำด้วยวิสัยทัศน์ – ใช้วิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนผู้ตาม
- สไตล์เป็นกันเอง – เน้นเรื่องความสามัคคี ทำงานแบบง่ายๆ ลูกน้องรัก
- สไตล์ประชาธิปไตย – รับฟังความคิดเห็นของแต่ละคนเพื่อหาข้อสรุปไปด้วยกัน
- สไตล์ยึดตัวเองเป็นมาตรฐาน – มีมาตรฐานสูง
- สไตล์ผู้ฝึกสอน – ฝึกผู้ตามให้เป็นคนที่เก่งขึ้น
สไตล์ของคุณเป็นแบบไหนหละ? การเข้าใจว่าตัวเองเป็นผู้นำสไตล์ไหนเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะไม่มีสไตล์ไหนที่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ในทุกสถานการณ์ คุณควรจะรู้ว่าเหตุการณ์แบบนี้ควรใช้สไตล์แบบนี้ มันไม่มีสไตล์ไหนที่ดีที่สุด อยู่ที่สถาณการณ์มากกว่า อย่างเช่นสถานการณ์ที่ต้องการความเร่งด่วน สไตล์ประชาธิปไตยอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีนัก
ก้าวที่ 2: เข้าใจองค์กรหลายมิติ
การเข้าใจองค์กรณ์ไม่ใช่แค่การรู้ว่าผังองค์กรของตัวเองมีโครงสร้างอย่างไร ซึ่งนั่นเป็นเพียงความเข้าใจแค่มิติเดียว แต่ถ้าอยากเข้าใจองค์กรให้ถ่องแท้ คุณต้องขุดลงไปมากกว่านั้น ผังองค์กรเป็นแค่สิ่งที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของแต่ละบุคคลแต่ละแผนก แบ่งแยกตามระดับอำนาจและตำแหน่ง แต่ข้างในมันมีความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการแผงอยู่ข้างในด้วย(Informal Organization)
มันจะมีคนที่เป็นศูนย์กลางของการสื่อสาร เป็นคนที่มีข่าวสารข้อมูลในองค์กรผ่านตัวเขามากที่สุด ซึ่งคนๆนี้อาจไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งสูงก็ได้ แต่คนแบบนี้จะมีอิทธิพลในองค์กรสูง หัวหน้าที่ดีต้องรู้ว่าคนไหนที่มีอิทธิพล ซึ่งเวลาจะทำอะไรต้องระวังเพราะคุณจะได้รับการสนับสนุนอย่างดีหรือไม่ คนพวกนี้ก็มีส่วนสำคัญมากทีเดียวเลยหล่ะ บางทีถ้าจะให้เลือกขึ้นตำแหน่งระหว่างคนสองคน ที่คนหนึ่งมีความสามารถสูงกว่า กับอีกคนที่มีคนรู้จักเยอะ เป็นศูนย์กลางในการสื่อสารภายในองค์กร บางทีก็ต้องยอมเลือกคนหลังถ้าไม่อยากให้มีผลกระทบเป็นคลื่นใต้น้ำตามมา
ก้าวที่ 3: กำหนดเป้าหมายและทิศทางให้เคลียร์
คุณต้องรู้ว่าสิ่งที่คุณอยากทำให้สำเร็จคืออะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเพิ่มความพึ่งพอใจของแขก หรือการเพิ่มยอดการจองตรงผ่านเว็บไซต์ แล้วก็ตั้งเป้าหมายนั้นให้ชัดเจนซะ อย่าลืมบอกเป้าหมายของคุณให้ทุกคนรู้ด้วยหล่ะ ผู้ตามของคุณก็ต้องการรู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ การทำงานไปวันๆโดยไม่มีเป้าหมายย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างแน่นอน
นอกจากตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนแล้ว ทิศทางก็เป็นสิ่งที่ต้องมีเช่นกัน ทิศทางเป็นสิ่งที่บอกว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณต้องเดินไปทางไหนเพื่อบรรลุเป้าหมายที่คุณได้ตั้งไว้ ถ้าแต่ละคนเดินกันไปคนละทิศละทาง เป้าหมายของคุณย่อมล้มเหลวอย่างแน่นอน การมีทิศทางที่ชัดเจนจะเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนทำงานง่ายขึ้น รู้ว่าต้องทำอะไร เป้าหมายของคุณจะมีโอกาสสำเร็จมากขึ้นอย่างแน่นอนถ้ามีทิศทางที่ชัดเจน
ก้าวที่ 4: เห็นคุณค่าคนเก่ง พัฒนาคนอ่อน
มันเป็นความต้องการพื้นฐานทางจิตใจของมนุษย์อยู่แล้วที่อยากให้คนอื่นมองเห็นคุณค่าของตัวเอง ไม่งั้นเราจะซื้อของแบรนด์เนมแพงๆไปทำไมกัน ก็เพราะอยากให้คนมอง ให้คนสนใจไงหล่ะ
คนทำงานดี คนทำงานเก่งก็เช่นกัน ก็ต้องการการมองเห็นจากผู้นำอย่างคุณเหมือนกัน มันเป็นสิ่งที่ทำให้คนเหล่านั้นมีกำลังใจทำงานดีๆต่อไป อีกอย่าง นี่เป็นสิ่งที่กระตุ้นพนักงานได้ดีมีประสิทธิภาพ และยังไม่มีค่าใช้จ่ายอีกด้วย เอ่ยปากชมคนทำงานดีๆบ้างให้เขาดีใจ หรือจะให้ดีกว่าก็ชมต่อหน้าสาธารณะไปเลย
กลับกัน คนที่ทำงานแย่ก็มีโอกาสที่จะเปลี่ยนให้กลายเป็นTop Performerได้ การว่ากล่าวอย่างเดียวไม่ได้ทำให้เขาเหล่านั้นเป็นคนที่เก่งขึ้นมาได้หรอก การเป็นผู้นำที่ดีคุณต้องสร้างคนให้เป็นด้วย ถ้าเขาทำไม่ดี คุณต้องแก้ไข ช่วยพัฒนาให้เขากลายเป็นคนที่เก่งขึ้น นั่นแหละเป็นคุณสมบัติของผู้นำที่ดี
ก้าวที่ 5: ยืดหยุ่นและพร้อมเปลี่ยนแปลง
ในการทำงานโรงแรม ทีมๆหนึ่งประกอบไปด้วยคนหลากหลาย ซึ่งแน่นอนมีความต่างหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ภาษา วัฒนธรรม การศึกษา หรือ อื่นๆ คนๆหนึ่งไม่สามารถรู้ไปทุกเรื่องได้หรอก ต้องอาศัยความรู้ของแต่ละคนในการขับเคลื่อนด้วย
ผู้จัดการอายุน้อยส่วนใหญ่มักจะติดกับดักในความเข้าใจผิดระหว่าง ความรู้ กับ ประสปการณ์ การมีการศึกษามากกว่าไม่ได้แปลว่าคุณจะเก่งกว่าใคร ลูกน้องของคุณอาจจะมีประสปการณ์ที่เป็นประโยชน์ในการให้คำปรึกษาแก่คุณเพียงแค่คุณพร้อมที่จะรับฟังอย่างตั้งใจ
การเป็นผู้นำที่ดี คุณต้องยอมรับฟังความเห็นของลูกน้องด้วย อะไรที่ดีก็นำมาใช้ อะไรที่ไม่ดีก็ปล่อยมันไป ทำให้ลูกน้องรู้ว่าพวกเขาก็มีความหมายอยู่นะ คุณพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงเสมอเมื่อมีเหตุผลที่ดีในการเปลี่ยน
คุณเลือกเองว่าอยากเป็นManagerหรือLeader (Leaderการเป็น Leader วงการโรงแรม), หัวหน้าที่คนโรงแรมต้องการ
Source(s): The Cornell School of Hotel Administration on Hospitality, Cutting Edge Thinking and Practice.
อัพเดทบทความตรงถึงเมล์คุณ